| |

วิเคราะห์ บัวขาวประกาศแขวนนวม เลิกชกมวยไทย

Banchamek gym

วันนี้ไปร่วมฟังการตกลงกันระหว่างค่ายป.ประมุข และ บัวขาว บัญชาเมฆ ครับ สุดท้ายแล้วก็คือบัวขาวประกาศเลิกชกมวยไทย เพื่อยุติปัญหาเรื่องผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น

สำหรับการประชุมร่วมกันในครั้งนี้มีขึ้นสืบเนื่องจากวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมได้มีการร่างสัญญาร่วมกันระหว่างค่ายป.ประมุข กับ บัวขาว ขึ้นมา 1 ฉบับแต่ยังหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ จึงต้องเลื่อนมาพิจารณาร่วมกันอีกครั้ง โดยวันนี้ “บัวขาว” เดินทางมาด้วยตัวเอง พร้อมกับ ดร. เทพปกรณ์ อินทรพัฒน์ ทนายความส่วนตัว ส่วนทางฝั่งค่ายป.ประมุข นำโดย “กำนันแก๊” นายประมุข โรจนตัณฑ์ หัวหน้าค่าย, “อุ ป.ประมุข” นายธีรวัฒน์ โรจนตัณฑ์ ผู้จัดการค่าย, นายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร ทนายความค่ายป.ประมุข

ก่อนการประชุมจะเริ่ม นายเดช ใจกล้า ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการมวย ได้เชิญผู้สื่อข่าวออกไปข้างนอกห้องประชุม เพื่อความสะดวกในการพิจารณาร่วมกัน แต่ “กำนันแก๊” เสนอให้ผู้สื่อมวลชนร่วมรับฟังด้วยเพื่อความโปร่งใสในการพิจารณาเรื่องสัญญา

นายวิวรรธน์ กล่าวว่า ทางค่ายยอมรับข้อเสนอทุกข้อตามที่ประชุมได้ร่างเอาไว้เมื่อวันที่ 22 พ.ค.โดยที่มาวันนี้คาดว่าน่าจะจบลงด้วยดี ซึ่งทางค่ายก็ยินดีที่จะถอนฟ้องคดีทางแพ่งกับ ร.ท. ธีรวัฒน์ ยิวยิ้ม ที่อ้างว่าเป็นนักกายภาพบำบัดส่วนตัวของ บัวขาว

ขณะเดียวกันพอเริ่มเข้าสู่การพิจารณารายละเอียดของสัญญาในเรื่องส่วนแบ่งค่าตัวการชกที่ 60/40 เปอร์เซ็นต์ กับส่วนแบ่งค่าตัวนอกเหนือจากรายการชกมวยเช่นการโฆษณา เป็นต้น ที่ 75/25 เปอร์เซ็นต์ ระหว่าง บัวขาว กับ ค่ายป.ประมุข บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ซึ่งทาง ดร. เทพปกรณ์ ทนายความส่วนตัว บัวขาว เสนอว่า ส่วนที่เกี่ยวกับการชกมวยยินดีที่แบ่งตามตัวเลขดังกล่าว แต่หากว่าไม่ใช่เรื่องการชกมวยนั้นต้องการให้ บัวขาว เป็นผู้รับเองทั้งหมด

ก่อนนายวิวรรธน์ จึงเสนอไปยังทนายของบัวขาว ว่า หากตกลงกันไม่ได้ คุยกันไม่รู้เรื่อง หาข้อยุติไม่ได้ทางค่ายยินดีเสนอขายตัว บัวขาว ให้กับค่ายอื่นๆ ที่สนใจ ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอของ “เสธ.ยอด” พลตรีอินทรัตน์ ยอดบางเตย ในฐานะประธานคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา

จากนั้น บัวขาว เปิดใจต่อที่ประชุมว่า ในเมื่อผลประโยชน์เรื่องเงินตกลงกันไม่ลงตัวเสียทีและปัญหาอยู่ที่ตัวตนเพียงคนเดียว หากตนหยุดชกมวยไทยปัญหาก็น่าจะจบลง อย่างไรก็ตามครอบครัวหรือครูมวยคนแรก ไม่เคยถามเรื่องเงินและที่ผ่านมาตนได้ทดแทนบุญคุณไปหมดแล้วสำหรับผู้มีพระคุณทั้งหลาย ดังนั้นตนขอยุติการชกมวยไทยตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ในทุกชื่อและจะไม่ขอจดทะเบียนใหม่ พอหลังจาก บัวขาว กล่าวจบทางค่ายป.ประมุข ต่างปรบมือนานหลายนาที

Credit : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1338459237&grpid=&catid=07&subcatid=0702

ซึ่งก็ทำให้เกิดกระแสขึ้นทันทีหลังจากข่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป โดยมีทั้งผู้เห็นที่บัวขาวแขวนนวม เพราะว่าจะได้เป็นไท ไม่ต้องอยู่กับค่ายต่อไป และ ผู้ไม่อยากให้บัวขาวต้องแขวนนวม เพราะอยากให้ขึ้นชกมวยไทยต่อไป ซึ่งก็กำลังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันตามเวปบอร์ดต่างๆเช่น Pantip หรือ Mthai รวมถึงเวปบอร์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศเช่น Sherdog หรือ Youtube เป็นต้น

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=3J7BRHKOifk[/youtube]

ซึ่งในส่วนตัวของผมเอง มองว่าการทำสัญญาในวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมานั้น ก็เป็นสัญญาที่ทางบัวขาวไม่ได้ตกลงแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเนื่องจากว่ามีสัญญาหลายๆข้อนั้นไม่เป็นธรรมกับตัวบัวขาวเอง จึงทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. พอมาวันนี้ทางค่ายบอกว่าขอให้สัญญาเหมือนเดิมกับวันนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่บัวขาวจะเซ็นครับ ฉะนั้นเมื่อทนายของบัวขาว อยากให้แก้บางข้อเช่นการ ได้รายได้นอกเวทีของบัวขาวก็ขอให้บัวขาวได้คนเดียว เนื่องจากบัวขาวนั้นก็อายุ 30 แล้ว คงขึ้นชกได้อีกไม่นาน (จริงๆจุดนี้ก็สมควรอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องสปอนเซอร์ของตัวนักมวย) รวมถึงการขอให้บัวขาวเป็นคนรับเลือกงานเองเพราะตัวเองเป็นคนไปปฎิบัติ ทางค่ายก็รอรับเงินใน 7 วัน ทางค่ายก็ไม่ยอม และระหว่างนั้นก็มีการพูดกระทบเรื่องบุญคุณอยู่ตลอด จึงทำให้บัวขาวต้องประกาศว่าจะเลิกชกมวยไทย และ ไม่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการกีฬามวยอาชีพด้วยชื่ออื่นๆอีก

การที่บัวขาวประกาศเช่นนี้ก็ทำให้สัญญากับค่ายมวย ป.ประมุขที่ยังเหลืออีก 5 ปีนั้นก็ถือว่าได้เป็นการยกเลิกไป สามารถขึ้นโชว์ได้แต่ห้ามที่จะชกแข่งขันอีก เพียงแต่ว่าในเวลานี้ บัวขาวเองก็ยังติดสัญญากับทางไทยไฟท์ ที่ต้องชกให้ครบตามกำหนดที่ได้ทำสัญญาไว้ ไม่อย่างงั้นก็อาจจะโดนฟ้อง 1.5 ล้านเหมือนครั้งที่ผ่านมา ฉะนั้นหากมองดีๆ ก็ยังต้องมีปัญหาให้บัวขาวได้สะสางอีกพอสมควร ทั้งเรื่องที่ค่ายป.ประมุขได้ฟ้องร้องไว้ 100 ล้าน ก็ยังต้องไปสู้กันในชั้นศาลกันต่อไป

ก้าวต่อไปจะเป็นไปในทิศทางใด

หากมองในแง่ของผลประโยชน์และรายได้ ชื่อเสียงของบัวขาว แม้จะไม่ได้ขึ้นชกอีก แต่การกลับไปเปิดสอนมวยที่ค่ายบ้านเกิด ก็ยังมีฝรั่งหรือชาวต่างชาติบินมาเรียนกันอย่างแน่นอน ซึ่งก็เห็นใน facebook บัญชาเมฆ ก็มีฝรั่งหลายๆคนสนใจบินมาเรียนกันมากมาย หรือ แค่เฉพาะการที่บัวขาวไปโชว์ตัว สัมนา สอนที่ต่างประเทศ ก็ถือว่าได้รายได้เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตแล้วครับ และหากบัวขาวย้ายไปต่อย MMA ก็คงไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะตามกฏหมายแล้วก็คือ ห้ามขึ้นชกมวยไทย เพราะถือว่าไม่มีใบอนุญาตินักมวยอาชีพ แต่เมื่อไม่มีใบนี้ก็เท่ากับไม่มีข้อผูกมัดบัวขาวไว้อีก ซึ่งการไปแข่ง MMA ก็ยังทำรายได้ไม่ได้ด้อยกว่ามวยไทยเลย และ อายุการชกของบัวขาวก็ยังลงแข่งได้อีกนาน รวมถึงฐานแฟนๆคนดูของ MMA เพิ่มจากมวยไทยเพิ่มไปอีกเช่นกัน ค่าสปอนเซอร์ ค่าโฆษณามากกว่าเดิมแน่นอน แต่อาจจะเสียดายตรงไม่ได้เห็นบัวขาวในเวทีมวยไทยอีก (K-1,S-Cup,Glory World,Sanda มิใช่มวยไทยนะครับ หึหึ)

ทางค่ายป.ประมุข ตอนนี้ก็คงน่าจะต้องลำบากแน่นอนทั้งเรื่องที่ไม่มีส่วนแบ่งในค่าตัวของบัวขาวอีกแล้ว และยังมีปัญหาเรื่องการโดนฟ้องจาก Thai Fight อีก 200 ล้านบาทรวมถึงข่าวที่ว่าทางค่ายเองก็ล้มละลายมานานแล้ว พอมีกรณีบัวขาวเข้าไปอีกผมมองว่า นักมวยต่างประเทศที่จะเดินทางมาฝึกก็คงย้ายไปบัญชาเมฆกันหมด รายได้จุดนี้ก็คงสูญเสียไปเยอะพอสมควร แต่ถ้าหากค่าย ป.ประมุข มีนักมวยในสังกัดที่สร้างชื่อได้เหมือนบัวขาวก็คงไม่ต้องกังวลอะไร

ก็มาดูกันต่อไปครับ ว่าเมื่อเรื่องถึงศาลแล้ว จะตัดสินผลออกมาอย่างไร แต่เมื่อบัวขาวได้ยื่นหนังสือยกเลิกการเป็นนักมวยแล้ว ก็ถือว่าปลดภาระทางจิตใจออกได้พอสมควร เราก็หวังว่าจะได้เห็น บัวขาว อีกครั้งในสังเวียนการต่อสู้ (ที่ไม่ใช่มวยไทยบนแผ่นดินไทย) หรือ อาจจะไม่เห็นนักมวยคนนี้อีกแล้ว แต่คุณก็จะผ่านจากคำว่านักมวย เข้าสู่คำว่า ตำนาน ต่อไป

Similar Posts

ใส่ความเห็น