| | |

ประวัติคาโปเอร่า

หนึ่งในศิลปะการต่อสู้ที่คนรุ่นใหม่สนใจ แต่อาจจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เต้นไป เต้นมา สู้ได้ด้วยหรอ วันนี้เราจะมารู้จักวิชา คาโปเอร่า กันครับ

คาโปเอร่า เป็นศิลปะการละเล่นประจำชาติของประเทศ บราซิล ซึ่งมีลักษณะของการผสมผสานระหว่างศิลปะการต่อสู้ การเต้น ดนตรี วัฒนธรรม และปรัชญา

คาโปเอร่าถือกำเนิดขึ้นมาโดยมีรากฐานมาจากศิลปะการต่อสู้ และการเต้นรำโบราณ หลายแขนงในแอฟริกา ซึ่งถูกนำไปปรับใช้ผสมผสานในบราซิลเมื่อหลายร้อยปีก่อนในขณะที่ชาวแอฟริกาบางส่วนถูกขายเป็นทาส แล้วถูกนำไปใช้แรงงานในบราซิลซึ่งในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส ซึ่งในพื้นที่แห่งนี้เองวัฒนธรรมของแอฟริกาหากหลายแขนงได้ถูกนำมาผสมผสานศิลปะการป้องกันตัวหลายชนิดถูกนำมาแลกเปลี่ยน รวบรวม และเปลี่ยนแปลง ภายใต้บริบทของความเป็นทาสซึ่งไม่สามารถฝึกการต่อสู้โดยตรงได้ สภาพของความบีบคั้นเช่นนั้นทำให้ทาสที่มารวมตัวแล้วผสมผสานกราต่อสู้ในแบบต่างๆ แล้วเปลี่ยนแปลงมันกลายเป็นการเต้น และเกมการละเล่นเพื่อความสนุกสนาน จนกลายเป็นศิลปะแบบหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของคาโปเอร่า

ต่อมาหลังจากมีการเลิกทาส ในช่วง ค.ศ 1888 ชาวแอฟริกันบางส่วนเดินทางกลับ แต่บางส่วนยังคงอาศัยอยู่ในบราซิล แต่เนื่องด้วยไม่มีงานทำมากนัก จึงทำให้หลายกลุ่มกลายเป็นอันธพาล พวกเขายังคงฝึกคาโปเอร่าอยู่ และกลายเป็นพวกต่อต้านรัฐบาล ก่ออาชญากรรมเมื่อมีการนำคาโปเอร่าไปใช้ในทางที่ผิด ทางรัฐบาลของบราซิลจึงมีคำสั่งให้ คาโปเอร่านั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย (ช่วงปีค.ศ 1890) ผู้ฝ่าฝืนจะถูกจับ แต่ก็มีบางส่วนที่ขัดขืนก็จะถูกยิง โดยที่ตำรวจในสมัยนั้นก็ฝึกฝนคาโปเอร่าด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะใช้ต่อสู้กับผู้ฝ่าฝืนได้

จนกระทั่งถึงช่วงที่ บราซิลมีสงครามกับปารากวัย รัฐบาลบราซิลได้จัดตั้งกลุ่มนักรบขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นนักสู้ คาโปเอร่าโดยเรียกว่า Black Military จะส่งไปรบกับปารากวัย โดยสามารถนำชัยชนะมาให้กับบราซิลได้ นั่นทำให้เหล่านักสู้คาโปเอร่าได้รับการยกย่องอีกครั้ง ในที่สุดคาโปเอร่าก็ได้ถูกใช้ในฐานะของ “อาวุธ” เพียงหนึ่งเดียวที่ทาสมี จนเป็นที่มาของศิลปะที่ถูกขนานนามว่า การเต้นแห่งอิสรภาพ (Dance of Freedom)

ภายหลังจากการเลิกทาสในปี ค.ศ.1888 บราซิลนั้นไม่ใช่ประเทศอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป ผู้คนที่เคยเป็นทาสหลายคนว่างงาน และเริ่มกลายเป็นอาชญากรโดยการใช้คาโปเอร่า ทำให้ 4 ปีหลังจากนั้นคาโปเอร่าจึงถูกห้ามโดยกฏหมาย ในขณะที่ศัพย์คำว่า “Capoeira” ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในหนังสือพจณานุกรมคำแสลงภาษาโปตุกิส

คาโปเอร่านั้นยังถูกแอบฝึกโดยผู้คนทั่วไปในบราซิลเรื่อยมาทั้งที่ยังถูกปราบปรามโดยตำรวจอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อ Manoel Dos Reis Machado (ค.ศ.1900-1974) หรือที่รู้จักกันในนามว่า

Mestre Bimba
เริ่มปรับปรุงคาโปเอร่าด้วยการเพิ่ม แล้วเริ่มนำมาสอนในฐานะวิชาพลศึกษาให้กับโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมือง Savadol ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ Bahia เมืองท่าที่สำคัญทางตะวันออกของประเทศบราซิล ต่อมาเขาเปิดโรงเรียนคาโปเอร่า (Academia) ขึ้นในเมืองดังกล่าวในปี ค.ศ. 1937 นับว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนแห่งแรกในประวัติศาสตร์ของคาโปเอร่า ในขณะเดียวกันนี้เขาก็เรียกคาโปเอร่าฉบับปรับปรุงของเขาว่า “Luta regional of Baiana” (Local style of fighting form bahia) แล้วเมือลูกศิษท์ของเขาหลายคนเริ่มนำคาโปเอร่าในแบบฉบับนี้ไปเผยแพร่ในอเมริกา และยุโรป เมื่อยุค 1970s ถึง 1980s เราจึงรู้จักกับคาโปเอร่ารูปแบบนี้ในนามของ Capoeira Regional ในขณะเดียวกับที่ Mestre Bimba ยังมีชีวิตอยู่แล้วเริ่มทำการสอนนั้น ในอีกด้านหนึ่งของเมือง Capoeira Academia อีกแห่งหนึ่งก็ถูกก่อตั้งขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันโดย

Mestre Pastinha
(1889-1981) ซึ่งเขาเองมีแนวคิดในการพัฒนาแตกต่างจาก mestre bimba ตรงที่เขาพยายามจะอนุรักษ์การเล่นคาโปเอร่าแบบเดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันลักษณะการเล่นคาโปเอร่าในลักษนะนี้ยังคงมีให้เห็นอยู่ทั้งในบราซิลและประเทศอื่นๆ ในโลกแต่ออกจะได้รับความนิยมน้อยกว่า Capoeira Regional อยู่บ้าง นับเป็นรูปแบบของการเล่นคาโปเอร่าอีกแบบหนึ่งที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Capoeira Angolaรูปแบบของคาโปเอร่านั้นมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงไปตามการเวลา ทั้งยังมีการพัฒนาเทคนิคและรูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ ที่เมือง Rio De Janeiro ในระยะเวลาหลังจากที่ Mestre Bimba เริ่มก่อตั้งโรงเรียสอนคาโปเอร่า ก็มีกลุ่มเด็กที่สนใจคาโปเอร่ากลุ่มหนึ่งซึ่งร่วมกันศึกษาคาโปเอร่าจากผู้คนที่ผ่านมาและตระเวนเล่นคาโปเอร่าไปตามที่ต่างๆ ทั่วเมือง โดยได้รับอิทธิพลจากเหล่าลูกศิษย์ของ Mestre Bimba และ Mestre Pastinha และอาจารย์คาโปเอร่าคนอื่นๆ ในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1966 เหล่าเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ภายใต้ชื่อของ Capoeira Senzala ก็ชนะการแข่งขัน “Berimbau De Ouro” ครั้งแรกของประเทศบราซิล แล้วต่อมาเป็นที่รู้จักตามทวีปต่างๆ ทั่วโลกในฐานะ Grupo Capoeira Senzala กลุ่มคาโปเอร่าที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลกในขณะที่ต่อมา

Mestre Camisa
สมาชิกในกลุ่มดังกล่าวก็ออกมาตั้งกลุ่มใหม่ในชื่อของ Capoeira Abada ซึ่งนับเป็นอีกกลุ่มคาโปเอร่าที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ในยุคเดียวกันนี้เองคาโปเอร่าอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งก็คือ Grupo Bantus ของ Mestre Pintor ก็ถือกำเนิดขึ้นที่รัฐ Minas Gerais และก็กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน

การกำเนิดขึ้นของกลุ่มคาโปเอร่าเหล่านี้นั้นได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคาโปเอร่านั้นไม่ได้เป็นสมบัติของรัฐ Bahia เพียงอย่างเดียว แต่เป็นของคนบราซิลทั้งประเทศ ในขณะการเติบโตของ Grupo Capoeira Cordao de ouro ของ Mestre Susanna ในประเทศอังกฤษ ซึ่งพัฒนารูปแบบการเล่นอีกลักษณะหนึ่งขึ้นเรียกว่า Munniho ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นสากลของคาโปเอร่า ซึ่งนักคาโปเอร่าหลายคนในยุคสมัยนี้ก็กำลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างรูปแบบการเล่นที่เรียกว่า Contemporary ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึงการเล่นที่มีความร่วมสมัย หลากหลาย และเป็นที่ยอมรับของสากล

ปัจจุบันนั้นคาโปเอร่านับได้ว่าเป็นรูปแบบของศิลปะที่มีผู้นิยมเล่นอยู่ทั่วโลก โดยเป็นผลพวงมาจากกลุ่มคาโปเอร่าหลายกลุ่มที่เริ่มขยับขยายตนเองไปในอเมริกาและยุโรป ด้วยการสอนและการแสดงในยุค 1980s และด้วยรูปแบบของคาโปเอร่าที่ได้รับการยอมรับกันว่าเป็นการละเล่นที่ได้รับทั้งความสนุกสนาน เป็นออกกำลังกาย เป็นการเพิ่มทักษะในการเล่นดนตรี และมีส่วนช่วยในการพัฒนาบุคลิกภาพ คาโปเอร่าจึงได้กลายเป็นกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายประเทศ และในประเทศบราซิลเองคาโปเอร่าก็นับได้ว่าเป็นกิจกรรมที่คนนิยมเล่นเป็นอันดับสองรองจากฟุตบอล ซึ่งในขณะนี้ทางรัฐบาลบราซิลเองก็กำลังพยายามผลักดันคาโปเอร่าให้เป็นกีฬาที่แข่งขันในโอลิมปิก

การเล่นคาโปเอร่า เริ่มจากการยืนกันเป็นวงกลม ซึ่งเรียกว่า Roda (ออกเสียงว่า โฮ-ด้า)โดยที่มีเครื่องดนตรีอยู่ตรงหัววง การเล่นจะเริ่มต้นโดยที่ผู้ที่เล่นบีริมเบาว์ (berimbaus)เริ่มเล่นและหลังจากนั้นเครื่องดนตรีอื่น ๆ ก็จะเล่นตามมา เมื่อผู้เล่นบีริมเบาว์ ส่งสัญญาณว่าให้เริ่มเล่นได้ ผู้เล่น 2 คนก็จะเดินมาหยุดตรงหน้าของผู้เล่นบีริมเบาว์ ทำการจับมือกัน และเริ่มต้นเล่น โดยในขณะเดียวกันคนอื่น ๆ รอบ ๆ วงก็จะตบมือพร้อมทั้งร้องเพลง โดยมีผู้เล่นบีริมเบาว์เป็นผู้นำ เมื่อคู่ที่เล่นอยู่ต้องการที่จะหยุดก็จะทำการจับมือกัน เพื่อเป็นสัญญาณว่ายุติการเล่นของคู่นั้น ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเกิดคนใดคนหนึ่งรอบ ๆ วงมีความต้องการจะเล่นกับคนใดคนหนึ่งในคู่ที่กำลังเล่นอยู่ ก็สามารถทำได้ซึ่งเราเรียกว่า การ Buying Game โดยคน ๆ นั้น จะหาจังหวะเข้าไปแทรกกลางระหว่างคู่ที่กำลังเล่นอยู่ โดยผู้ที่แทรกนั้นหันหน้าไปทางผู้ใดก็คือ ต้องการที่จะเล่นกับคน ๆ นั้น ในการเล่นนั้นจะไม่มีการปะทะหรือกระทบกระทั่งกันรุนแรงนัก เพื่อมิให้เกิดอันตรายและการบาดเจ็บแต่ตัวผู้เล่น

ขอบคุณข้อมูลจาก http://capoeirathailand.multiply.com/

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=Z8xxgFpK-NM[/youtube]

Similar Posts

ใส่ความเห็น